บล็อกมีเดีย
สื่อออนไลน์
ประโยชน์เยอะ ภัยร้ายแยะ

หากมองย้อนกลับไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงคำว่า “เครือข่ายสังคมที่เต็มไปด้วยกลุ่มวัยรุ่นที่ทำกิจกรรมติดต่อสื่อสาร พูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความบันเทิง หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เน้นไปที่การกระจายตัว “ความเป็นเมือง” ไปยังพื้นที่ต่างๆ อย่างทั่วถึง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง การค้าและบริการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการสื่อสารที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เราสามารถเข้าถึงบริการด้านข้อมูลข่าวสาร และการติดต่อสื่อสารในยุคการเชื่อมต่อไร้สายผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้มากขึ้น
ทั้งนี้ จากการประชุมวิชาการระดับชาติสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ครั้งที่ 11 เรื่อง “ความหลากหลายทางประชากรและสังคมในประเทศไทย ณ ปี 2558” โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน พ.ศ. 2554 – 2557 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ากลุ่มที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มวัยรุ่น แต่มีการขยายตัวไปยังกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้นด้วย
ใครเป็นใครบนเครือข่ายสังคมออนไลน์
ผลการวิจัยเรื่อง “ใครเป็นใครบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ : ความหลากหลายทางคุณลักษณะและพฤติธรรม” ของ ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า กลุ่มประชากรที่ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มเยาวชน (อายุ 15 – 24 ปี) แต่มีการขยายตัวของจำนวนผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ไปกลุ่มอื่นๆ อีกด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ
ดร.ปิยวัฒน์ กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มที่มาแรงที่สุด คือกลุ่มผู้สูงอายุ มีการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 95 ในการเข้าไปเป็นสมาชิกของสังคมออนไลน์ นอกจากนี้ยังพบว่า การเพิ่มขึ้นของความถี่ในการเข้าไปใช้งานและระยะเวลาการใช้งานต่อช่วงวันเพิ่มขึ้นด้วย จากเดิมวันละ 1 ชั่วโมง เพิ่มเป็นสูงสุดวันละ 7 ชั่วโมง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เอนซีดี (NCDs) ที่เกิดจากการอยู่นิ่งๆ นานๆ
ขณะที่วัตถุประสงค์การใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการใช้เพื่อความบันเทิง ติดตามข้อมูลข่าวสาร และการสนทนา
ภัยร้ายออนไลน์ในวัยรุ่นไทย
“เครือข่ายสังคมออนไลน์” กลายเป็นสังคมที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น และมีความหลากหลายทั้งในแง่คุณลักษณะทางเพศและอายุ ตลอดจนวัตถุประสงค์การใช้งาน ที่นับวันภาพของ “สังคมออนไลน์” ก็จะยิ่งสะท้อนภาพของคนใน “สังคมไทย” เข้าไปทุกที
ขณะเดียวกัน ผลวิจัยเรื่อง “วัยรุ่นใช้สื่อออนไลน์อย่างไรในการหาคู่” ของ นิพนธ์ ดาราวุฒิมาประกรณ์ นักวิจัยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบความน่าเป็นห่วง คือกลุ่มวัยรุ่นใช้สื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไลน์ ในการหา “กิ๊ก” และคู่นอน โดยพฤติกรรมการมีแฟนและเพศสัมพันธ์แบ่งเป็นกลุ่ม 4 กลุ่ม คือ (1) มีแฟนทีละคนไม่มีกิ๊ก หรือกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้สื่อออนไลน์ในการพูดคุยกับเพื่อนทั่วไปเท่านั้น (2) มีแฟนและกิ๊กแต่จะมีเพศสัมพันธ์กับแฟนคนเดียว คือกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางในการคุยกับกิ๊ก แต่ไม่คุยเพื่อจะมีเพศสัมพันธ์ด้วย และไม่ใช้สื่อออนไลน์ในการหาคู่ (3) มีแฟนและกิ๊ก และมีเพศสัมพันธ์กับทุกคน และ (4) มีเพศสัมพันธ์กับใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องแฟนหรือกิ๊ก สองกลุ่มหลังนี้คือ กลุ่มที่ใช้สื่ออนไลน์ในการติดต่อกัน เพื่อนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ โดยวัยรุ่นชายจะใช้สื่อออนไลน์ในการหาคู่ชัดเจรกว่าวัยรุ่นหญิง อีกทั้งใช้เวลาพูดคุยทำความรู้จักไม่นานก่อนการมีเพศสัมพันธ์
เจ้าของงานวิจัยเรื่อง “วัยรุ่นใช้สื่อออนไลน์อย่างไรในการหาคู่” ให้ความเห็นว่า โดยปกติแล้ว ผู้ชายส่วนใหญ่จะสามารถหาคู่ได้ง่ายกว่าผู้หญิง ผู้ชายสามารถมีเซ็กส์กับแฟนตัวเอง เพื่อนคนรู้จัก รวมทั้งพนักงานบริการ ขณะเดียวกัน ผู้หญิงสามารถมีเซ็กส์ได้กับแฟนตัวเอง สามี ส่วนคนรู้จักอาจถูกบังคับหรือไม่เต็มใจ ทั้งนี้ ผู้ชายจะมีความตั้งใจในการมีเซ็กส์มากกว่าผู้หญิง
ความขัดแย้งบนโลกออนไลน์ สู่โลกความเป็นจริง
จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาอย่างก้าวล้ำ สื่อสังคมออนไลน์กลับส่งผลไปในการลบต่อชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ของคนในสังคมอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น จนกลายเป็นประเด็นทางสังคม ที่ทั้งสื่อ กฎหมายและประชาชนเองจะต้องให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้เวลาไปกับสื่อออนไลน์วันละ หลายชั่วโมง จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ทะเลาะวิวาท จนถึงขั้นทำร้ายร่างกายตามมา
จากผลการวิจัยหัวข้อ “เหวี่ยง’ และ ‘วีน’ ออนไลน์... ความขัดแย้งและการวิวาทในสื่อสังคมของวัยรุ่น” ของผศ.ดร.ภูเบศร์ สมุทรจักร อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ความขัดแย้งในกลุ่มวัยรุ่นส่วนใหญ่เป็นประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนและคนรัก การแข่งขันในการเรียน และสถานภาพทางสังคม
“การที่ไม่มีตัวตน หรือมีตัวตนซ่อนเร้นในโลกออนไลน์ ทำให้คนมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นหรือแสดง ‘ความแรง’ ออกมาในสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะในสังคมวัยรุ่นสมัยนี้ที่มีการสื่อสารห้วนขึ้น สั้นขึ้น แรงขึ้น หรือวัฒนธรรมแบบสามคำสี่พยางค์ อย่างเวลาที่เราพูดห้วนๆ จะมีความแรงอยู่ด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การวิวาทง่ายขึ้น” ผศ.ดร. ภูเบศร์ กล่าวและว่า การทะเลาะวิวาท ในสังคมออนไลน์มีหลายกรณี เช่น “ทะเลาะในเฟซบุ๊กแล้วไปต่อในไลน์ หรือ ทะเลาะในไลน์แล้วไปต่อในต่อในเฟซบุ๊ก แล้วออกมาเคลียร์กันตัวต่อตัว” จากความรุนแรงทางความสัมพันธ์ในการสื่อสาร กลายเป็นความรุนแรงทางกายภาพ
ด้านนายแพทย์อภิชาต จริยาวิลาศ จิตแพทย์โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้คำแนะนำว่า เพื่อป้องกันปัญหาที่ตามมา ควรระวังบุคคลที่จะสื่อสารด้วย เพราะอาจมีอาชญากรรมแฟงตัว และไม่ควรหมกมุ่นในการสื่อมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราสามารถทำได้ในการป้องกันภัยที่มาจากสื่อสังคมออนไลน์ ก็คือการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) โดยต้องเข้าใจสภาพของสื่อออนไลน์ว่าเป็นสังคมที่มีทั้งพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะ เรียนรู้การสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์บนโลกออนไลน์กับชีวิตจริงว่า ความรอบคอบและมีสติทุกครั้งในการสื่อสารและแสดงความคิดเห็นต่างๆ บนโลกออนไลน์ คือวิธีป้องกันภัยร้ายได้อย่างดี

พฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ที่กำลังกลายเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงของวัยรุ่น
สื่อออนไลน์นอกจากความสะดวกแล้ว อีกมุมหนึ่งสื่อออนไลน์ก็กลายเป็นปัญหาทางสังคมได้เหมือนกัน หลายคนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเมื่อได้เข้าสู่โลกของสื่อออนไลน์
โดยเฉพาะวัยรุ่นการเล่นสื่อออนไลน์ สังคมออนไลน์
โซเชียลมีเดียก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้เหมือนกัน
เหล่านี้คือพฤติกรรมใช้สื่อออนไลน์ที่จะกลายเป็นปัญหา
คุณคิดว่าคุณเป็นคนติดเน็ตไหม? เชื่อว่า 99% บอกว่า ติด และติดอย่างหนักหน่วงด้วย เพราะจากรายงานของ ETDA พบว่าคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 10 ชั่วโมง 5 นาทีต่อวัน ซึ่งเป็นอัตราการใช้งานที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 3 ชั่วโมง 41 นาที ซึ่งถือว่าเติบโตมากเลยทีเดียว ซึ่งการเติบโตของการใช้งานอินเทอร์เน็ต และจำนวนผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียที่เติบโตเพิ่มขึ้นทุกวัน ได้กลายเป็นประเด็นหลักที่ผลักดันให้ สื่อออนไลน์ เติบโตอย่างน่าสนใจ

การเติบโตของสื่อออนไลน์มาจากการมองเห็นจุดเด่นของสื่อออนไลน์ ที่มีความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ด้วยเม็ดเงินในการลงโฆษณาต่อครั้งที่ไม่สูงจนเกินไป และสามารถวัดผลได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งต่างๆ จากสื่อประเภทอื่นๆ
ในปีนี้สมาคมโฆษณาดิจิทัล DAAT คาดการณ์สื่อออนไลน์จะมูลค่าสูงถึง 14,330 ล้านบาท
ซึ่งเมื่อเปรียบกับมูลค่าสื่อโฆษณารวม สื่อออนไลน์มีการใช้เม็ดเงินสูงเป็นอันดับสองรองจากสื่อทีวี


เมื่อสื่อออนไลน์ทรงอิทธิพลด้านผู้ใช้มากขึ้นทุกวันได้ดึงดูดให้แบรนด์น้อยใหญ่ทุ่มเม็ดเงินไปกับการโฆษณาผ่านสื่อนี้ จนอาจจะละทิ้งการใช้สื่อเดิมๆ เช่นทีวี นิตยสาร สื่อนอกบ้าน หรือแม้แต่กิจกรรมออนกราวด์ไป เพราะเชื่อว่าการใช้สื่อออนไลน์เพียงสื่อเดียวจะได้ผลลัพธ์ทางการตลาดเป็นไปตามเป้าหมายรายได้ที่วางไว้
แต่ความจริงแล้ว จากประสบการณ์ของ MI โดย ภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ-สายงานการวางแผน และกลยุทธ์สื่อโฆษณา มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ หรือ MI และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีเดีย อินไซต์ พบว่าการใช้สื่อออนไลน์เพียงสื่อเดียวในการทำตลาด บางครั้งกระแสที่ได้กลับมาอาจไม่ตอบโจทย์ด้านยอดจำหน่ายตามคาดการณ์ตามเป้าหมาย Market Plan ขององค์กร เพราะอะไร
แต่ในบ้างครั้งสื่อออนไลน์อาจไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริง หรือการันตีได้ว่าสื่อออนไลน์ได้ทำหน้าที่สื่อสารไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตามที่คิดไว้ ถ้ายังศึกษาวิธีการวัดผลผ่านสื่อนี้ไม่ดีพอ
โดยสื่อออนไลน์ใช้วิธีการวัดผล Reach & Frequency & View ดังนี้คือ
Reach หรือการเข้าถึงคอนเทนต์ โดยการนับ Reach จะนับ 1 Reach เมื่อคนๆ นั้นเจอโฆษณาบนหน้า Feed หรือเลื่อนโฆษณาผ่านหน้าจอ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดดูโฆษณา ซึ่งเป็นไปได้ว่าผู้บริโภคคนนั้นอาจยังไม่ทันสังเกตว่าโฆษณาที่เลื่อนผ่านคือโฆษณาอะไร
View หรือการนับจากการมองเห็นคลิปโฆษณษ ซี่งการนับ View จะเริ่มนับตั้งแต่เห็นคลิปโฆษณาที่เล่นเพียงบางส่วน ไม่จำเป็นต้องเห็นโฆษณาเต็มหน้าจอ
โดยการนับ View ของเฟซบุ๊กจะนับเมื่อคนๆ นั้นเห็นคลิปโฆษณาเพียง 3 วินาที หรือแค่เป็นเวลาที่ผู้บริโภคเลื่อนหน้าจอผ่านเท่านั้น ซึ่งถ้าคลิปโฆษณาไม่ดึงดูดจริง ผู้บริโภคจะไม่สนใจและหยุดดูจนจบ
ซึ่งในบ้างครั้งนักการตลาดกลับให้ความสำคัญกับการวัดผลเป็นตัวเลขทางเทคนิคของสื่อออนไลน์มากเกินไป จนความสำคัญเรื่องคอนเท้นต์และพฤติกรรมเชิงลึกของกลุ่มเป้าหมายในการเสพสื่อออนไลน์ ซึ่งมีความแตกต่างจากการเสพสื่อออฟไลน์ประเภทอื่นๆ ทำให้กระแสที่ได้รับกลับมาจากการใช้สื่อออนไลน์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้
โดยทีวีจะมีหน้าที่ในการจุดกระแส ให้กับคนหมู่มาก ได้รับรู้ในตัวสินค้า หรือแคมเปญ ที่นำเสนอ
ซึ่งการใช้สื่อในรูปแบบ Omni Channel หรือการผสมผสานช่องทางการสื่อสารออนไลน์ ออฟไลน์ และณ จุดขาย หรือ Point of Sale เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าแบบไร้รอยต่ออาจจะเป็นคำตอบที่ช่วยให้นักการตลาดขับเคลื่อนแบรนด์ไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้
จากที่กล่าวมาข้างต้น ดิฉันมองว่าสื่อออนไลน์นั้นมีทั้งข้อดี และข้อเสีย เพราะฉะนั้นเราควรจะคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนจะลงมือทำอะไรในสื่อโซเชี่ยล
การเล่นอย่างไม่รู้เวลา
วัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังอยากค้นหา อยากเรียนรู้ และสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากมาย เวลาเค้าสนใจอะไรก็จะทุ่มเวลาไปกับสิ่งนั้นมาก หากเป็นเรื่องดนตรี กีฬา งานอดิเรกอื่นก็แล้วไป แต่หากสิ่งที่เค้าสนใจอยู่นั้นเป็นเรื่องโลกโซเชียล สื่อออนไลน์ล่ะก็ เค้าก็คงจะหมกมุ่นกับสิ่งนั้นตลอดเวลา จนเหมือนกับเสพติดการเล่นโลกโซเชียลเหล่านั้น ตัดการสื่อสารของตัวเองกับโลกภายนอกไปหมด การเล่นมากเกินไปแบบนี้นอกจากจะเสียสายตาในระยะยาวแล้วการบลูลี่
การ บลูลี่ หรือ การด่าทอ คนอื่นเป็นสิ่งที่เราเห็นกันจนชินตา บางครั้งเราก็โดนด่า โดนล้า บางครั้งเราก็ไปล้อคนอื่น ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีเอาเสียเลย ทีนี้การบลูลี่บนโลกจริงเราพูดแล้วก็หายไป ลืมไปว่าตัวเองพูดอะไร แต่คนฟังหรือคนโดนกระทำไม่ลืมนะ แต่หากการกระทำดังกล่าวมาเป็นโลกออนไลน์ล่ะ การรุมไปด่าทอ ล้อเลียน บนโลกออนไลน์ เขียนหน้าฟีดในเฟสบุ๊ค มันไม่ได้เป็นการบลูลี่แล้ว มันเป็นการประจาน ประณาม คนนั้นเลยทีเดียว แล้วหากมีการบลูลี่เยอะๆติดต่อกันมากๆ คนกระทำอาจจะสนุกสะใจ แต่มันก็ทำให้ผู้รับการกระทำเหล่านั้นอาจเป็นโรคซึมเศร้าก็ได้เรื่องเพศ
วัยรุ่นกับเรื่องเพศเป็นสิ่งที่แยกกันออกได้ยาก ส่วนหนึ่งพวกเค้าอยู่ในวัยที่กำลังอยากรู้อยากลอง กำลังสนใจเพศตรงข้าม โลกโซเชียลจึงเป็นเหมือนเครื่องมือที่ถูกกับเป้าหมายตรงนี้ พวกเค้าสามารถกดเพื่อค้นหาเพื่อนใหม่ได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกัน เพศตรงข้าม หรือเพศทางเลือก ซึ่งหากเป็นการพูดคุยเพื่อการทำความรู้จัก รู้จักความแตกต่างก็เป็นเรื่องดีไป แต่ถ้าเอาไปใช้ในเรื่องของการล่อลวงไปข่มขืน รุมโทรม ก็เป็นปัญหาด้วยเหมือนกันการปรับตัว
การแฝงตัวเองอยู่หลังคีย์บอร์ด หรือ อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้วัยรุ่นหลายคนสามารถแสดงตัวตนตามที่ต้องการได้แบบไม่มีใครสนใจว่าจะเป็นอย่างไร หรือที่เรารู้จักกันว่า เกรียนคีย์บอร์ดนั่นเอง นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ได้หากแสดงออกแบบผิดวิธี อีกหนึ่งปัญหาก็คือ โลกจริงวัยรุ่นกลุ่มนี้จะปรับตัวเข้าหาสังคมได้ยากมาก พวกเค้าจะพึงพอใจในโลกออนไลน์ จนไม่สามารถเข้าสังคมได้เลย ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องหมั่นสังเกตุพฤติกรรมวัยรุ่นอยู่เสมอคนไทยใช้เน็ต 10 ชั่วโมงต่อวัน แต่ทำไมโฆษณาออนไลน์อย่างเดียวจึงไม่เกิด
คุณคิดว่าคุณเป็นคนติดเน็ตไหม? เชื่อว่า 99% บอกว่า ติด และติดอย่างหนักหน่วงด้วย เพราะจากรายงานของ ETDA พบว่าคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 10 ชั่วโมง 5 นาทีต่อวัน ซึ่งเป็นอัตราการใช้งานที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 3 ชั่วโมง 41 นาที ซึ่งถือว่าเติบโตมากเลยทีเดียว ซึ่งการเติบโตของการใช้งานอินเทอร์เน็ต และจำนวนผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียที่เติบโตเพิ่มขึ้นทุกวัน ได้กลายเป็นประเด็นหลักที่ผลักดันให้ สื่อออนไลน์ เติบโตอย่างน่าสนใจ

การเติบโตของสื่อออนไลน์มาจากการมองเห็นจุดเด่นของสื่อออนไลน์ ที่มีความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ด้วยเม็ดเงินในการลงโฆษณาต่อครั้งที่ไม่สูงจนเกินไป และสามารถวัดผลได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งต่างๆ จากสื่อประเภทอื่นๆ
ในปีนี้สมาคมโฆษณาดิจิทัล DAAT คาดการณ์สื่อออนไลน์จะมูลค่าสูงถึง 14,330 ล้านบาท
ซึ่งเมื่อเปรียบกับมูลค่าสื่อโฆษณารวม สื่อออนไลน์มีการใช้เม็ดเงินสูงเป็นอันดับสองรองจากสื่อทีวี


เมื่อสื่อออนไลน์ทรงอิทธิพลด้านผู้ใช้มากขึ้นทุกวันได้ดึงดูดให้แบรนด์น้อยใหญ่ทุ่มเม็ดเงินไปกับการโฆษณาผ่านสื่อนี้ จนอาจจะละทิ้งการใช้สื่อเดิมๆ เช่นทีวี นิตยสาร สื่อนอกบ้าน หรือแม้แต่กิจกรรมออนกราวด์ไป เพราะเชื่อว่าการใช้สื่อออนไลน์เพียงสื่อเดียวจะได้ผลลัพธ์ทางการตลาดเป็นไปตามเป้าหมายรายได้ที่วางไว้
แต่ความจริงแล้ว จากประสบการณ์ของ MI โดย ภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ-สายงานการวางแผน และกลยุทธ์สื่อโฆษณา มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ หรือ MI และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีเดีย อินไซต์ พบว่าการใช้สื่อออนไลน์เพียงสื่อเดียวในการทำตลาด บางครั้งกระแสที่ได้กลับมาอาจไม่ตอบโจทย์ด้านยอดจำหน่ายตามคาดการณ์ตามเป้าหมาย Market Plan ขององค์กร เพราะอะไร
1.ประชากรโซเชียลสมาธิต่ำ
ด้วยพฤติกรรมคนใช้งานโซเชียลมีเดีย จะมีพฤติกรรม นิ้วไถหน้าจอดูสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียลอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยจดจ่อกับคอนเทนต์ใด คอนเทนต์หนึ่งเป็นเวลานานๆ ถ้าคอนเทนต์นั้นไม่โดดเด่นดึงดูดสายตาและความสนใจได้จริง2.ให้ความสำคัญกับตัวเลขและข้อมูลทางเทคนิคของ สื่อออนไลน์มากไป
แม้จุดแข็งของสื่อออนไลน์คือการวัดผล Reach & Frequency & View ที่เข้าถึงคอนเทนต์ที่นักการตลาดได้สื่อสารผ่านสื่อไปยังกลุ่มเป้าหมายแต่ในบ้างครั้งสื่อออนไลน์อาจไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริง หรือการันตีได้ว่าสื่อออนไลน์ได้ทำหน้าที่สื่อสารไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตามที่คิดไว้ ถ้ายังศึกษาวิธีการวัดผลผ่านสื่อนี้ไม่ดีพอ
โดยสื่อออนไลน์ใช้วิธีการวัดผล Reach & Frequency & View ดังนี้คือ
Reach หรือการเข้าถึงคอนเทนต์ โดยการนับ Reach จะนับ 1 Reach เมื่อคนๆ นั้นเจอโฆษณาบนหน้า Feed หรือเลื่อนโฆษณาผ่านหน้าจอ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดดูโฆษณา ซึ่งเป็นไปได้ว่าผู้บริโภคคนนั้นอาจยังไม่ทันสังเกตว่าโฆษณาที่เลื่อนผ่านคือโฆษณาอะไร
View หรือการนับจากการมองเห็นคลิปโฆษณษ ซี่งการนับ View จะเริ่มนับตั้งแต่เห็นคลิปโฆษณาที่เล่นเพียงบางส่วน ไม่จำเป็นต้องเห็นโฆษณาเต็มหน้าจอ
โดยการนับ View ของเฟซบุ๊กจะนับเมื่อคนๆ นั้นเห็นคลิปโฆษณาเพียง 3 วินาที หรือแค่เป็นเวลาที่ผู้บริโภคเลื่อนหน้าจอผ่านเท่านั้น ซึ่งถ้าคลิปโฆษณาไม่ดึงดูดจริง ผู้บริโภคจะไม่สนใจและหยุดดูจนจบ
ซึ่งในบ้างครั้งนักการตลาดกลับให้ความสำคัญกับการวัดผลเป็นตัวเลขทางเทคนิคของสื่อออนไลน์มากเกินไป จนความสำคัญเรื่องคอนเท้นต์และพฤติกรรมเชิงลึกของกลุ่มเป้าหมายในการเสพสื่อออนไลน์ ซึ่งมีความแตกต่างจากการเสพสื่อออฟไลน์ประเภทอื่นๆ ทำให้กระแสที่ได้รับกลับมาจากการใช้สื่อออนไลน์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้
3.Omni Channel สร้างประสิทธิภาพในการสื่อสาร
นอกจากนักการตลาดจะต้องเข้าใจเชิงลึกถึง Customer Journey ที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งการสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ หรือสื่อออฟไลน์เพียงสื่อเดียวอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ได้ตามที่คาดการณ์ เพราะสื่อแต่ละสื่อมีหน้าที่แตกต่างกันไปโดยทีวีจะมีหน้าที่ในการจุดกระแส ให้กับคนหมู่มาก ได้รับรู้ในตัวสินค้า หรือแคมเปญ ที่นำเสนอ
ซึ่งการใช้สื่อในรูปแบบ Omni Channel หรือการผสมผสานช่องทางการสื่อสารออนไลน์ ออฟไลน์ และณ จุดขาย หรือ Point of Sale เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าแบบไร้รอยต่ออาจจะเป็นคำตอบที่ช่วยให้นักการตลาดขับเคลื่อนแบรนด์ไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้
จากที่กล่าวมาข้างต้น ดิฉันมองว่าสื่อออนไลน์นั้นมีทั้งข้อดี และข้อเสีย เพราะฉะนั้นเราควรจะคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนจะลงมือทำอะไรในสื่อโซเชี่ยล
Comments
Post a Comment